2553/12/20

วิธีทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติ








วิธีทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติ
รักแร้ดำคล้ำปัญหาใหญ่ใกล้ตัวของคุณผู้หญิงทั้งหลายเลยทีเดียวค่ะ แต่เรามีวิธีทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติมาฝากคุณผู้หญิงกันด้วยนะวันนี้ แน่นอนว่าปัญหารักแร้ดำสร้างความกลุ้มใจให้กับคุณผู้หญิงมากทีเดียวเพราะจะใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยวหรือแขนกุดรึก็ต้องกลัวว่า จะมีใครมาแอบมองใต้วงแขนหรือรักแร้ของเรารึเปล่า คุณผู้หญิงที่กำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ลองนำ วิธีทำให้รักแร้ขาว ของเราไปลองใช้กันดูนะค่ะ เป็น วิธีทำให้รักแร้ขาวแบบธรรมชาติ ที่ช่วยให้ใต้วงแขนของคุณขาวขึ้น เนียนขึ้น และทำให้คุณมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วยนะ ด้วย วิธีทำให้รักแร้ขาวเนียน นี้จะช่วยให้คุณได้อวดใต้วงแขนอย่างได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปเลยล่ะค่ะ








วิธีทำให้รักแร้ขาว

1. หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรง ๆ บริเวณผิวใต้วงแขน

2. หยุดใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น ถ้าแพ้น้ำหอม ก็ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

3. ถ้าเกิดอาการดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที


สูตรรักแร้ขาวเนียน

- มะขาม
แนะนำให้ใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากจะทำให้ผิวขาวใสแล้วยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีก

- มะนาว
นำมะนาวมาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างออก ส่วนมะนาวที่เหลือยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า และข้อศอกที่ดำ ๆ ได้อีกด้วย

- เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบา ๆ เน้นว่าเบา ๆ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต





วิธีรักษาขอบตาดำ "เพื่อใบหน้าที่สดใส"
ขอบตาดำคล้ำ เป็นเหตุให้ ดวงตาไม่สวย ไม่สดใส วันนี้เรามีวิธีรักษาขอบตาดำมาฝากด้วยนะ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งต้องควรรู้ วิธีรักษาขอบตาดำ กันไว้ด้วยนะ เพราะว่าเวลาที่คนเรามีใต้ตาดำคล้ำหรือขอบตาดำคล้ำนั้นจะส่งผลต่อสีหน้าของเราอย่างมากเลยค่ะ เวลามีคนที่มองหน้าเราก็จะรู้เหมือนว่าใบหน้าเราเศร้าหมองทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย คุณผู้หญิงคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวคุณใช่ไหมค่ะ ฉะันั้นเรามารู้จักกับ สาเหตุที่ทำให้ขอบตาดำกันจะได้หาวิธีป้องกันกันไว้ก่อน หรือถ้าไม่มีล่ะก็เราก็ยังมี วิธีรักษาขอบตาดำ ของคุณอีกด้วยค่ะ

วิธีรักษาขอบตาดำ

สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำแล้วลองหันไปมองญาติพี่น้องพ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้จะพบว่า เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไปและเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีมซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อย ๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้นเพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ


วิธีรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อนรักษาแบบได้ผลช้า ๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้นและได้ผลเร็ว ๆ การรักษาด้วยเลเซอร์หรือเครื่องแสงเข้มข้นเป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ดและสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาดำคล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้นคล้ายกับเลเซอร์แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนานและถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีนอนหลับไม่เพียงพอไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา

คล็ดลับ การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม




เคล็ดลับ การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม
วันนี้เรามีเคล็ดลับการดูแลเล็บมือและทำให้มือของคุณนุ่มขึ้นค่ะ การดูแลเล็บมือ จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยสำหรับผู้หญิงอย่างเรา แต่ก็มีคุณผู้หญิงบ้างท่านที่มีปัญหา เล็บอ่อน เล็บหักง่าย จะไว้เล็บยาวก็ไม่ได้เหมือนชาวบ้านเค้า หรือคุณผู้หญิงบางคนก็ยังมีผิวที่ไม่สมดุลทั้งหยาบกร้าน แห้ง อีกต่างหาก หรือคุณผู้หญิงบ้างคนเกิดปัญาทั้งเล็บทั้งมือคงกลุ้มใจแต่ แต่ไม่เป็นไรแล้วนะเพราะเรามี เคล็ดลับ การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม มาฝากคุณผู้หญิงแล้วค่ะ ต่อไปนี้คุณหญิงทั้งหลายก็จะได้มีมือที่เนียนนุ่มน่าจับแถมยังมีเล็บสวยแข็งแรงสุขภาพดีอีกต่างหาก


การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม



เพียงใช้น้ำมันมะกอกที่เรานำมาหมักผมนี่แหละ กะปริมาณสัก 1 ใน 4 ของขวด จากนั้นนำมาผสมน้ำอุ่นจัดสักประมาณครึ่งลิตร นำมือลงไปแช่ข้างหนึ่งก่อน แล้วมืออีกข้างก็คอยนวดเล็บนวดนิ้วทีละข้าง เมื่อครบ 10 นาที ก็สลับมืออีกข้าง ทำเป็นประจำมือเนียนนุ่มกับเล็บแข็งแรงไม่หนีไปไหนแน่ ๆ อ้อ...ลองกินอาหารพวกตับ นม ไข่แดง เสริมด้วยก็ดีจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก

สูมุนไพรอัพสวย Her Secret Herb for Beauty lovers






ก่อนทานค่ะ






หลังทาน







ข้อมูลเพิ่มเติม
www.hersecretherb.com

สูตร! ลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์


สูตร! ลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์



วันนี้เรามีสูตรลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์ มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ เรารู้ดีว่าการมีผิวแตกลายหรือผิวเปลือกส้มหรือผิวเซลลูไลท์นั้นคงสร้างความลำบากให้คุณผู้หญิงหลายอย่างมาก ยิ่งมีรอยแตกลายที่ ขา ต้นแขน ต้นขา น่อง หน้าท้อง สะโพก หรือที่ไหน ๆ คงไม่เป็นที่ปราถนาของคุณผู้หญิงเป็นแน่น ฉะนั้นมาลอง สูตร! ลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์ นี้กันค่ะ ซึ่งเป็น สูตรลดรอยแตกลาย แบบธรรมชาติที่ได้ผลดีนักแลแม้แต่คุณแม่ที่มีผิวแตกลายจากการคลอดบุตรสูตรลดรอยแตกลายนี้ก็ช่วยคุณได้ค่ะ


สูตร! ลดรอยแตกลาย

สูตร 1 ว่านหางจระเข้แก้รอยแตกลาย

ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ที่ล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้ เพิ่มความมั่นใจให้อวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ

สูตร 1 ใบบัวบกแก้รอยแตกลาย

ให้ใช้ใบบัวบกโดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า - เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว


เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว


ลมหนาวพัดมาอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ผิวของเรายิ่งต้องการการดูแลแบบดับเบิ้ลเลยทีเดียวค่ะ และวันนี้เราก็มีเคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวนี้มาฝากผิวสวย ๆ ของคุณผู้หญิงด้วยนะค่ะ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณที่คุณใช้อยู่ก่อนช่วงอากาศหนาวอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เย็นขึ้น เพื่อดึงความชุ่มชื้นให้กลับมาสู่ผิวพรรณของคุณดั่งเดิมค่ะ และ เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว นี้จะช่วยให้ผิวของคุณสวยใสสุขภาพดีได้ในหน้าหนาวนี้นะค่ะ นั้นเรามาดู 10 เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว ของเรากันเลยค่ะ


10 เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว

1. อย่างละเลยริมฝีปากอีกต่อไป

ที่แรกซึ่งมักจะรู้สึกถึงลมหนาวก่อนอื่นใดก็คือริมฝีปาก เนื่องจากริมฝีปากไม่มีต่อมไขมันอีกทั้งโครงสร้างผิวที่ค่อนข้างบางและมีหลอดเลือดอยู่ชิดกับผิวหนังชั้นบนริมฝีปากจึงเกิดอาการแห้งและแตกได้ง่าย วิธีดีที่สุดในการเยียวยาริมฝีปากก็คือการขัดลอกเซลล์ผิวที่แห้งแตกเป็นประจำและทาลิปบาล์มที่ไม่มีส่วนผสมอันระคายเคือง อย่างเช่น เปปเปอร์มินต์หรือเมนทอล สำหรับคนที่ริมฝีปากแห้งอย่างมากลองหาลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของโคคัวบัตเตอร์หรืออัลมอนด์ออยล์ คนที่ต้องการการปกป้องน้อยหน่อยลองเลือกแบบที่ผสมเชียบัตเตอร์


2. อย่าอาบน้ำอุ่นนานเกินไป

การอาบน้ำอุ่นสบายอาจฟังดูเย้ายวนใจในหน้าหนาวแต่มันจะพรากเอาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติไปจากผิว ฉะนั้น อย่าอาบน้ำนานนักและอย่าให้อุณหภูมิของน้ำสูงเกินไป จากนั้นซับผิวพอหมาด ๆ แล้วรีบทาครีมหรือออยล์ตอนที่ผิวยังชื้น ๆ อยู่ เพื่อตรึงความชุ่มชื้นเอาไว้ในผิวหลีกเลี่ยงการหยดน้ำมันลงในน้ำอาบเพราะน้ำมันส่วนใหญ่มักจะไหลลงไปในท่อมากกว่าอยู่บนผิว อีกทั้งมันยังทำให้อ่างอาบน้ำลื่นและเป็นอันตรายได้และยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันอาจทำให้สารทำความสะอาดเกาะติดอยู่กับผิวเป็นเหตุให้เกิดการระคายเคืองและความแห้ง


3. อย่าลืมขัดผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง

คุณอาจไม่อยากให้ผิวแห้งแตกเป็นขุยและหลุดร่อนออกมา แต่การขัดลอกเซลล์ผิวเป็นอีกเรื่องหนึ่งมันเป็นเรื่องของการผลัดผิว และแทนที่ด้วยเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนกว่าและปกป้องผิวได้ดีกว่า และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องความแห้งการผลัดเปลี่ยนเซลล์เป็นหน้าที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของผิวที่สุขภาพดี แต่เนื่องจากความเสียหายจากแสงแดดจากความแห้งในอากาศทำให้ผิวต้องการความช่วยเหลือในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ คุณควรขัดลอกเซลล์ผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยใช้สครับที่มีเม็ดขัดอันอ่อนโยน นอกจากจะช่วยเผยเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าแล้วยังทำให้ผิวสามารถดูดซับความชุ่มชื้นได้มากขึ้นด้วย


4. อย่าทำความสะอาดผิวรุนแรงเกินไป

สำหรับผิวกายคุณควรใช้สบู่ที่ปราศจากน้ำหอมและอ่อนโยนต่อผิวที่สุด และควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ยาฆ่าเชื้อโรคซึ่งจะขจัดน้ำมันออกจากผิวของคุณ ส่วนผิวหน้าเปลี่ยนมาใช้เคลนเซอร์แบบอ่อน ๆ อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวชนิดใดก็ตามที่ทำให้ผิวรู้สึกแห้งและตึง


5. ดูแลมือและเท้าให้มากขึ้น

มือและเท้าเป็นอีกส่วนของร่างกายที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความหนาวเย็นชัดเจนที่สุด ถ้ามือของคุณต้องสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ ทาครีมทุกครั้งหลังจากโดนน้ำ แต่ถ้าผิวยังคงแห้งอยู่ลองทาครีมและห่อมือด้วยถุงมือพลาสติกทิ้งไว้สักครู่คุณจะตกใจกับผลที่แตกต่างอย่างชัดเจน สำหรับเท้าปรนนิบัติมันสัปดาห์ละสามครั้งด้วยการแช่เท้าในอ่างน้ำอุ่นผสมเกลือทะเลและน้ำมันสองสามหยด หลังจากนั้นให้ทาครีมหรือน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ เช่น เชียบัตเตอร์หรืออัลมอนด์ออยล์





6. ปรับเปลี่ยนการใช้ผลิตภัณฑ์สักหน่อย

ผิวของคุณต้องปรับตัวอย่างมากในการรับมือกับอากาศที่เย็นและแห้ง คุณควรลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขัดลอกเซลล์ผิวอย่างเช่น AHA ลงบ้าง เนื่องจากมันอาจทำให้ผิวแห้งมากขึ้นและทำให้ผิวระคายเคืองได้ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงพวกแอสตริงเจนต์ที่มักจะทำให้ผิวแห้งลงไปอีกด้วย ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องสิวคุณอาจจะยังคงใช้ยาทาเพื่อการรักษาได้ แต่ควรปรับเล็กน้อย เช่น ถ้าใช้เรติน-เอ อาจขอให้หมอเปลี่ยนจากแบบเจลเป็นสูตรครีมที่ชุ่มชื้นชื้นและระวังการใช้ AHA ให้มากขึ้น เนื่องจากมันอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้นได้


7. เพิ่มอาหารผิวให้มากขึ้น

การต่อสู้ที่ดีที่สุดมาจากภายในการกินวิตามินรวมที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ ไบโอติน วิตามินเอ ซี ดี อี ทองแดง สังกะสี และแมงกานีส ช่วยให้ผิวคงความมีสุขภาพดี แต่ที่สำคัญที่สุดก็คืออาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์ผิวให้มีสุขภาพดีด้วยการเพิ่ม Epithelial Cells ซึ่งจะผลัดตัวโดยไม่ทำให้เกิดอาการอักเสบ กรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า -3 และโอเมก้า -6 พบมากในถั่ว เมล็ดพืช และยังมีมากในน้ำมันหลายชนิด เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน อีฟนิ่งพริมโรส เป็นต้น ลองเพิ่มน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสในอาหาร 1,300 มก. ต่อวัน เพื่อให้แน่ใจว่าผิวไม่ขาดกรดไขมันจำเป็น


8. เติมความชุ่มชื้นอย่าได้ขาด

เพื่อเติมและตรึงความชุ่มชื้นไว้ในผิวให้ได้มากที่สุด คุณอาจต้องเปลี่ยนมาใช้มอยสเจอไรเซอร์แบบเข้มข้นขึ้น มอยสเจอไรเซอร์แบบที่มีส่วนผสมของน้ำมันจะมีประสิทธิภาพในการปกป้องการสูญเสียความชุ่มชื้นมากกว่า หรืออาจเลือกครีมที่มีสารให้ความชุ่มชื้น อย่างเช่น ยูเรียแล็กเทต (Urea Lactate) แล้วทามอยสเจอไรเซอร์เพื่อตรึงความชุ่มชื้นไว้อีกทีก็จะช่วยปกป้องผิวจากความแห้งกร้านได้ดีขึ้น นอกจากนี้การใช้มาส์กให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็ช่วยได้อย่างมากอีกด้วย แต่ในกรณีที่คุณผิวมันอากาศที่แห้งและเย็นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องชโลมผิวด้วยมอยสเจอไรเซอร์ในทันที แต่ควรรอสัก 15 นาทีหลังล้างหน้า ถ้าหน้ายังแห้งตึงอยู่ค่อยทามอยสเจอไรเซอร์ในบริเวณที่แห้งตึงไม่เช่นนั้นคุณอาจเสี่ยงกับการทำให้ผิวมันเยิ้มมากขึ้น


9. ดื่มน้ำให้มาก ๆ

การดื่มน้ำช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเอาไว้ได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้เซลล์ชุ่มชื้นและช่วยนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวตามหลักการอายุรเวทน้ำที่ดื่มควรจะมีอุณหภูมิเดียวกับห้องหรืออุ่นเล็กน้อย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และกาเฟอีนที่ทำให้ร่างกายและผิวขาดน้ำ


10.ปกป้องแสงแดดเสมอ

แสงแดดไม่ว่าจะเจิดจ้าหรือหมุ่นมัวก็ยังมีรังสีที่ทำร้ายผิวได้อยู่ดีและผิวเสียจากแดดจะอุ้มความชื้นไว้ได้น้อยลง หน้าหนาวจึงไม่ได้หมายความถึงการงดใช้ครีมกันแดด แต่คุณอาจใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิวกายมากขึ้นซึ่งทำให้สามารถงดเว้นการทาครีมกันแดดที่ผิวกายได้แต่ยังต้องทาครีมกันแดดที่มี SPF15 เป็นอย่างน้อยบนผิวหน้าเสมอ


การดูแลผิวหน้าหนาว

- เริ่มวันใหม่ด้วยการอาบน้ำอุ่น แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากฝักบัวเปิดน้ำเย็นราดตัวสัก 15 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นอีกครั้ง และเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นสลับไปมาราว 2 นาที นี่คือหลักการง่าย ๆ ของวารีบำบัดที่ช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการกระตุ้นการไหล่เวียนโลหิตทั่วร่างกาย ฉะนั้นถึงแม้ว่าคุณจะไม่ค่อยสนุกกับกระบวนการนี้นักแต่คิดว่ามันดีกับคุณแค่ไหนเอาไว้ก็แล้วกัน

- ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว นี่เป็นตำรับของจีนซึ่งช่วยให้ร่างกายมีพลังวังชามันจะดีท็อกซ์ระบบของคุณรวมทั้งตับและกระเพาะปัสสาวะ หมายความว่าร่างกายคุณจะสามารถทำความสะอาดเลือดได้เร็วกว่าและกำจัดสารพิษที่ทำให้ผิวเสียได้ดีขึ้น

- นอนให้พอ เงินไม่อาจซื้อประโยชน์ของการนอนหลับสนิทยามค่ำคืนได้ ระดับออกซิเจนของคุณจะลดลงเมื่อคุณนอนไม่พอ หมายความว่าการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่จะช้าลงทำให้ความร่วงโรยเข้ามาเยือนผิวเร็วขึ้น ลองนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงเพื่อที่จะได้ประโยชน์สูงสุดแก่ผิว



ตัวเสริม สมุนไพร Gltter Girls
http://www.weloveshopping.com/template/e1/shop.php?shopid=246443




เคล็ดลับ การดูแลริมฝีปาก "ให้น่าจุ๊บ"


ปากแห้ง ติดเชื้อ เป็นขุย เป็นแผล คงไม่ดีแน่มาทำการดูแลริมฝีปากให้น่าจุ๊บด้วยเคล็ดลับการดูแลริมฝีปากของเรากันดีกว่าค่ะ ยิ่งอากาศเปลี่ยน ๆ แบบนี้ยิ่งต้องดูแลริมฝีปากของคุณให้เป็นพิเศษเลยยิ่งหน้าหนาวด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ริมฝีปากของคุณจะแห้งเป็นสองเท่าของอากาศปกติกันเลยทีเดียวค่ะ มาทำการดูแลริมฝีปากให้นิ่งสุขภาพดีกันดีกว่านะค่ะ นั้นไม่ช้าเนอะมาดู เคล็ดลับ การดูแลริมฝีปาก กันเลยค่ะ

การดูแลริมฝีปาก

- แผลติดเชื้อ

ปากแตกบางกรณีจำเป็นต้องให้แพทย์รักษายิ่งถ้าแตกบริเวณด้านในที่ริมฝีปากของคุณประกบกันละก็แผลแตกอาจจะอักเสบ เกิดเป็นผื่นแดงหรือตุ่มที่ทั้งปวดทั้งแสบแถมแผลก็ไม่ยอมหายง่าย ๆ จะแตกซ้ำ ๆ ที่เดิม นอกจากนี้อาจเป็นสัญญาณถึงโรคอื่น ๆ เช่น โรคคาวาซากิ ดังนั้น หากคุณกินยาก็แล้วหยุดเลียก็แล้วและทำตามคำแนะนำอื่น ๆ แต่ยังไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ก็ได้เวลาไปพบแพทย์แล้วค่ะ

- อากาศเปลี่ยนแปลง

อากาศแห้ง ลมแรง และแสงแดดจัด จะทำให้ริมฝีปากของเราต้องสัมผัสกับรังสี UVA ซึ่งทำร้ายเซลล์และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปากแห้งและแตก ป้องกันได้ง่าย ๆ โดยการพกลิปมันติดตัวทาบ่อย ๆ แต่บาง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคุณอาจเลียออกจนหมด อย่างไรก็ตามลิปมันแต่ละรุ่นหรือแต่ละแบรนด์ย่อมต่างกัน ถ้าริมฝีปากอ่อนนุ่มของคุณกลายเป็นทุ่งหินงามแล้วละก็คุณจำเป็นต้องใช้ลิปมันที่ให้ความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษและอย่างน้อยที่สุดลิปมันควรมี SPF15 ด้วยนะคะ

- วิตามินบีหายไปไหน

ร่างกายอาจส่งสัญญาณบอกคุณว่า "วิตามินบีต่ำแล้วนะ!" วิตามินบีที่จำเป็นได้แก่ วิตามินบี 2, 6 และ 12 ซึ่งถ้าขาดไปแล้วคุณอาจจะมึนเวียนศีรษะ ชีพจรเต้นถี่ อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ไม่อยากอาหาร ระบบย่อยอาหารไม่ดี การรับสัมผัสผิดปกติและน้ำหนักลดลงอย่างมาก (ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี) แต่เราสามารถหาวิตามินบีได้ง่าย ๆ จากเนื้อสัตว์ทั้งหลายรวมไปถึง ปลา เนื้อวัว สัตว์ปีก ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต แล้วอย่าลืมกินผลไม้อย่างกล้วยหรือมะม่วงที่มีวิตามิบี 6 นะคะ


- ธาตุเหล็กไม่พอ

อาจเป็นสาเหตุของโลหิตจางนอกจากปากแตกร่างกายของคุณจะรู้สึกเมื่อยล้า อ่อนเพลีย มึนงง ปวดศีรษะ หงุดหงิด ชีพจรผิดปกติ และขาดสมาธิ แม้ส่วนใหญ่แล้วจะรักษาได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อไม่ติดมัน ถั่วและผลไม้ อบแห้ง ไข่ (โดยเฉพาะไข่แดง) อาหารทะเล ถั่วลันเตา ผักขม หน่อไม้ฝรั่ง บร็อกโคลี่ และธัญพืช แต่ถ้าคุณมีปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็กก็ควรจะปรึกษาแพทย์ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต