2553/12/20

วิธีทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติ








วิธีทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติ
รักแร้ดำคล้ำปัญหาใหญ่ใกล้ตัวของคุณผู้หญิงทั้งหลายเลยทีเดียวค่ะ แต่เรามีวิธีทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติมาฝากคุณผู้หญิงกันด้วยนะวันนี้ แน่นอนว่าปัญหารักแร้ดำสร้างความกลุ้มใจให้กับคุณผู้หญิงมากทีเดียวเพราะจะใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยวหรือแขนกุดรึก็ต้องกลัวว่า จะมีใครมาแอบมองใต้วงแขนหรือรักแร้ของเรารึเปล่า คุณผู้หญิงที่กำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ลองนำ วิธีทำให้รักแร้ขาว ของเราไปลองใช้กันดูนะค่ะ เป็น วิธีทำให้รักแร้ขาวแบบธรรมชาติ ที่ช่วยให้ใต้วงแขนของคุณขาวขึ้น เนียนขึ้น และทำให้คุณมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วยนะ ด้วย วิธีทำให้รักแร้ขาวเนียน นี้จะช่วยให้คุณได้อวดใต้วงแขนอย่างได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปเลยล่ะค่ะ








วิธีทำให้รักแร้ขาว

1. หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรง ๆ บริเวณผิวใต้วงแขน

2. หยุดใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น ถ้าแพ้น้ำหอม ก็ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

3. ถ้าเกิดอาการดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที


สูตรรักแร้ขาวเนียน

- มะขาม
แนะนำให้ใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากจะทำให้ผิวขาวใสแล้วยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีก

- มะนาว
นำมะนาวมาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างออก ส่วนมะนาวที่เหลือยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า และข้อศอกที่ดำ ๆ ได้อีกด้วย

- เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบา ๆ เน้นว่าเบา ๆ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต





วิธีรักษาขอบตาดำ "เพื่อใบหน้าที่สดใส"
ขอบตาดำคล้ำ เป็นเหตุให้ ดวงตาไม่สวย ไม่สดใส วันนี้เรามีวิธีรักษาขอบตาดำมาฝากด้วยนะ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งต้องควรรู้ วิธีรักษาขอบตาดำ กันไว้ด้วยนะ เพราะว่าเวลาที่คนเรามีใต้ตาดำคล้ำหรือขอบตาดำคล้ำนั้นจะส่งผลต่อสีหน้าของเราอย่างมากเลยค่ะ เวลามีคนที่มองหน้าเราก็จะรู้เหมือนว่าใบหน้าเราเศร้าหมองทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย คุณผู้หญิงคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวคุณใช่ไหมค่ะ ฉะันั้นเรามารู้จักกับ สาเหตุที่ทำให้ขอบตาดำกันจะได้หาวิธีป้องกันกันไว้ก่อน หรือถ้าไม่มีล่ะก็เราก็ยังมี วิธีรักษาขอบตาดำ ของคุณอีกด้วยค่ะ

วิธีรักษาขอบตาดำ

สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำแล้วลองหันไปมองญาติพี่น้องพ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้จะพบว่า เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไปและเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีมซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อย ๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้นเพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ


วิธีรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อนรักษาแบบได้ผลช้า ๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้นและได้ผลเร็ว ๆ การรักษาด้วยเลเซอร์หรือเครื่องแสงเข้มข้นเป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ดและสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาดำคล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้นคล้ายกับเลเซอร์แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนานและถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีนอนหลับไม่เพียงพอไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา

คล็ดลับ การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม




เคล็ดลับ การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม
วันนี้เรามีเคล็ดลับการดูแลเล็บมือและทำให้มือของคุณนุ่มขึ้นค่ะ การดูแลเล็บมือ จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยสำหรับผู้หญิงอย่างเรา แต่ก็มีคุณผู้หญิงบ้างท่านที่มีปัญหา เล็บอ่อน เล็บหักง่าย จะไว้เล็บยาวก็ไม่ได้เหมือนชาวบ้านเค้า หรือคุณผู้หญิงบางคนก็ยังมีผิวที่ไม่สมดุลทั้งหยาบกร้าน แห้ง อีกต่างหาก หรือคุณผู้หญิงบ้างคนเกิดปัญาทั้งเล็บทั้งมือคงกลุ้มใจแต่ แต่ไม่เป็นไรแล้วนะเพราะเรามี เคล็ดลับ การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม มาฝากคุณผู้หญิงแล้วค่ะ ต่อไปนี้คุณหญิงทั้งหลายก็จะได้มีมือที่เนียนนุ่มน่าจับแถมยังมีเล็บสวยแข็งแรงสุขภาพดีอีกต่างหาก


การดูแลเล็บมือ VS มือนุ่ม



เพียงใช้น้ำมันมะกอกที่เรานำมาหมักผมนี่แหละ กะปริมาณสัก 1 ใน 4 ของขวด จากนั้นนำมาผสมน้ำอุ่นจัดสักประมาณครึ่งลิตร นำมือลงไปแช่ข้างหนึ่งก่อน แล้วมืออีกข้างก็คอยนวดเล็บนวดนิ้วทีละข้าง เมื่อครบ 10 นาที ก็สลับมืออีกข้าง ทำเป็นประจำมือเนียนนุ่มกับเล็บแข็งแรงไม่หนีไปไหนแน่ ๆ อ้อ...ลองกินอาหารพวกตับ นม ไข่แดง เสริมด้วยก็ดีจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก

สูมุนไพรอัพสวย Her Secret Herb for Beauty lovers






ก่อนทานค่ะ






หลังทาน







ข้อมูลเพิ่มเติม
www.hersecretherb.com

สูตร! ลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์


สูตร! ลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์



วันนี้เรามีสูตรลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์ มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ เรารู้ดีว่าการมีผิวแตกลายหรือผิวเปลือกส้มหรือผิวเซลลูไลท์นั้นคงสร้างความลำบากให้คุณผู้หญิงหลายอย่างมาก ยิ่งมีรอยแตกลายที่ ขา ต้นแขน ต้นขา น่อง หน้าท้อง สะโพก หรือที่ไหน ๆ คงไม่เป็นที่ปราถนาของคุณผู้หญิงเป็นแน่น ฉะนั้นมาลอง สูตร! ลดรอยแตกลาย ลดผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์ นี้กันค่ะ ซึ่งเป็น สูตรลดรอยแตกลาย แบบธรรมชาติที่ได้ผลดีนักแลแม้แต่คุณแม่ที่มีผิวแตกลายจากการคลอดบุตรสูตรลดรอยแตกลายนี้ก็ช่วยคุณได้ค่ะ


สูตร! ลดรอยแตกลาย

สูตร 1 ว่านหางจระเข้แก้รอยแตกลาย

ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ที่ล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้ เพิ่มความมั่นใจให้อวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ

สูตร 1 ใบบัวบกแก้รอยแตกลาย

ให้ใช้ใบบัวบกโดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า - เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว


เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว


ลมหนาวพัดมาอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ผิวของเรายิ่งต้องการการดูแลแบบดับเบิ้ลเลยทีเดียวค่ะ และวันนี้เราก็มีเคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาวนี้มาฝากผิวสวย ๆ ของคุณผู้หญิงด้วยนะค่ะ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณที่คุณใช้อยู่ก่อนช่วงอากาศหนาวอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เย็นขึ้น เพื่อดึงความชุ่มชื้นให้กลับมาสู่ผิวพรรณของคุณดั่งเดิมค่ะ และ เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว นี้จะช่วยให้ผิวของคุณสวยใสสุขภาพดีได้ในหน้าหนาวนี้นะค่ะ นั้นเรามาดู 10 เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว ของเรากันเลยค่ะ


10 เคล็ดลับดูแลผิวหน้าหนาว

1. อย่างละเลยริมฝีปากอีกต่อไป

ที่แรกซึ่งมักจะรู้สึกถึงลมหนาวก่อนอื่นใดก็คือริมฝีปาก เนื่องจากริมฝีปากไม่มีต่อมไขมันอีกทั้งโครงสร้างผิวที่ค่อนข้างบางและมีหลอดเลือดอยู่ชิดกับผิวหนังชั้นบนริมฝีปากจึงเกิดอาการแห้งและแตกได้ง่าย วิธีดีที่สุดในการเยียวยาริมฝีปากก็คือการขัดลอกเซลล์ผิวที่แห้งแตกเป็นประจำและทาลิปบาล์มที่ไม่มีส่วนผสมอันระคายเคือง อย่างเช่น เปปเปอร์มินต์หรือเมนทอล สำหรับคนที่ริมฝีปากแห้งอย่างมากลองหาลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของโคคัวบัตเตอร์หรืออัลมอนด์ออยล์ คนที่ต้องการการปกป้องน้อยหน่อยลองเลือกแบบที่ผสมเชียบัตเตอร์


2. อย่าอาบน้ำอุ่นนานเกินไป

การอาบน้ำอุ่นสบายอาจฟังดูเย้ายวนใจในหน้าหนาวแต่มันจะพรากเอาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติไปจากผิว ฉะนั้น อย่าอาบน้ำนานนักและอย่าให้อุณหภูมิของน้ำสูงเกินไป จากนั้นซับผิวพอหมาด ๆ แล้วรีบทาครีมหรือออยล์ตอนที่ผิวยังชื้น ๆ อยู่ เพื่อตรึงความชุ่มชื้นเอาไว้ในผิวหลีกเลี่ยงการหยดน้ำมันลงในน้ำอาบเพราะน้ำมันส่วนใหญ่มักจะไหลลงไปในท่อมากกว่าอยู่บนผิว อีกทั้งมันยังทำให้อ่างอาบน้ำลื่นและเป็นอันตรายได้และยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันอาจทำให้สารทำความสะอาดเกาะติดอยู่กับผิวเป็นเหตุให้เกิดการระคายเคืองและความแห้ง


3. อย่าลืมขัดผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง

คุณอาจไม่อยากให้ผิวแห้งแตกเป็นขุยและหลุดร่อนออกมา แต่การขัดลอกเซลล์ผิวเป็นอีกเรื่องหนึ่งมันเป็นเรื่องของการผลัดผิว และแทนที่ด้วยเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนกว่าและปกป้องผิวได้ดีกว่า และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องความแห้งการผลัดเปลี่ยนเซลล์เป็นหน้าที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของผิวที่สุขภาพดี แต่เนื่องจากความเสียหายจากแสงแดดจากความแห้งในอากาศทำให้ผิวต้องการความช่วยเหลือในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ คุณควรขัดลอกเซลล์ผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยใช้สครับที่มีเม็ดขัดอันอ่อนโยน นอกจากจะช่วยเผยเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าแล้วยังทำให้ผิวสามารถดูดซับความชุ่มชื้นได้มากขึ้นด้วย


4. อย่าทำความสะอาดผิวรุนแรงเกินไป

สำหรับผิวกายคุณควรใช้สบู่ที่ปราศจากน้ำหอมและอ่อนโยนต่อผิวที่สุด และควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ยาฆ่าเชื้อโรคซึ่งจะขจัดน้ำมันออกจากผิวของคุณ ส่วนผิวหน้าเปลี่ยนมาใช้เคลนเซอร์แบบอ่อน ๆ อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวชนิดใดก็ตามที่ทำให้ผิวรู้สึกแห้งและตึง


5. ดูแลมือและเท้าให้มากขึ้น

มือและเท้าเป็นอีกส่วนของร่างกายที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความหนาวเย็นชัดเจนที่สุด ถ้ามือของคุณต้องสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ ทาครีมทุกครั้งหลังจากโดนน้ำ แต่ถ้าผิวยังคงแห้งอยู่ลองทาครีมและห่อมือด้วยถุงมือพลาสติกทิ้งไว้สักครู่คุณจะตกใจกับผลที่แตกต่างอย่างชัดเจน สำหรับเท้าปรนนิบัติมันสัปดาห์ละสามครั้งด้วยการแช่เท้าในอ่างน้ำอุ่นผสมเกลือทะเลและน้ำมันสองสามหยด หลังจากนั้นให้ทาครีมหรือน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ เช่น เชียบัตเตอร์หรืออัลมอนด์ออยล์





6. ปรับเปลี่ยนการใช้ผลิตภัณฑ์สักหน่อย

ผิวของคุณต้องปรับตัวอย่างมากในการรับมือกับอากาศที่เย็นและแห้ง คุณควรลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขัดลอกเซลล์ผิวอย่างเช่น AHA ลงบ้าง เนื่องจากมันอาจทำให้ผิวแห้งมากขึ้นและทำให้ผิวระคายเคืองได้ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงพวกแอสตริงเจนต์ที่มักจะทำให้ผิวแห้งลงไปอีกด้วย ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องสิวคุณอาจจะยังคงใช้ยาทาเพื่อการรักษาได้ แต่ควรปรับเล็กน้อย เช่น ถ้าใช้เรติน-เอ อาจขอให้หมอเปลี่ยนจากแบบเจลเป็นสูตรครีมที่ชุ่มชื้นชื้นและระวังการใช้ AHA ให้มากขึ้น เนื่องจากมันอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้นได้


7. เพิ่มอาหารผิวให้มากขึ้น

การต่อสู้ที่ดีที่สุดมาจากภายในการกินวิตามินรวมที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ ไบโอติน วิตามินเอ ซี ดี อี ทองแดง สังกะสี และแมงกานีส ช่วยให้ผิวคงความมีสุขภาพดี แต่ที่สำคัญที่สุดก็คืออาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์ผิวให้มีสุขภาพดีด้วยการเพิ่ม Epithelial Cells ซึ่งจะผลัดตัวโดยไม่ทำให้เกิดอาการอักเสบ กรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า -3 และโอเมก้า -6 พบมากในถั่ว เมล็ดพืช และยังมีมากในน้ำมันหลายชนิด เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน อีฟนิ่งพริมโรส เป็นต้น ลองเพิ่มน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสในอาหาร 1,300 มก. ต่อวัน เพื่อให้แน่ใจว่าผิวไม่ขาดกรดไขมันจำเป็น


8. เติมความชุ่มชื้นอย่าได้ขาด

เพื่อเติมและตรึงความชุ่มชื้นไว้ในผิวให้ได้มากที่สุด คุณอาจต้องเปลี่ยนมาใช้มอยสเจอไรเซอร์แบบเข้มข้นขึ้น มอยสเจอไรเซอร์แบบที่มีส่วนผสมของน้ำมันจะมีประสิทธิภาพในการปกป้องการสูญเสียความชุ่มชื้นมากกว่า หรืออาจเลือกครีมที่มีสารให้ความชุ่มชื้น อย่างเช่น ยูเรียแล็กเทต (Urea Lactate) แล้วทามอยสเจอไรเซอร์เพื่อตรึงความชุ่มชื้นไว้อีกทีก็จะช่วยปกป้องผิวจากความแห้งกร้านได้ดีขึ้น นอกจากนี้การใช้มาส์กให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็ช่วยได้อย่างมากอีกด้วย แต่ในกรณีที่คุณผิวมันอากาศที่แห้งและเย็นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องชโลมผิวด้วยมอยสเจอไรเซอร์ในทันที แต่ควรรอสัก 15 นาทีหลังล้างหน้า ถ้าหน้ายังแห้งตึงอยู่ค่อยทามอยสเจอไรเซอร์ในบริเวณที่แห้งตึงไม่เช่นนั้นคุณอาจเสี่ยงกับการทำให้ผิวมันเยิ้มมากขึ้น


9. ดื่มน้ำให้มาก ๆ

การดื่มน้ำช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเอาไว้ได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้เซลล์ชุ่มชื้นและช่วยนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวตามหลักการอายุรเวทน้ำที่ดื่มควรจะมีอุณหภูมิเดียวกับห้องหรืออุ่นเล็กน้อย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และกาเฟอีนที่ทำให้ร่างกายและผิวขาดน้ำ


10.ปกป้องแสงแดดเสมอ

แสงแดดไม่ว่าจะเจิดจ้าหรือหมุ่นมัวก็ยังมีรังสีที่ทำร้ายผิวได้อยู่ดีและผิวเสียจากแดดจะอุ้มความชื้นไว้ได้น้อยลง หน้าหนาวจึงไม่ได้หมายความถึงการงดใช้ครีมกันแดด แต่คุณอาจใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิวกายมากขึ้นซึ่งทำให้สามารถงดเว้นการทาครีมกันแดดที่ผิวกายได้แต่ยังต้องทาครีมกันแดดที่มี SPF15 เป็นอย่างน้อยบนผิวหน้าเสมอ


การดูแลผิวหน้าหนาว

- เริ่มวันใหม่ด้วยการอาบน้ำอุ่น แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากฝักบัวเปิดน้ำเย็นราดตัวสัก 15 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นอีกครั้ง และเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นสลับไปมาราว 2 นาที นี่คือหลักการง่าย ๆ ของวารีบำบัดที่ช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการกระตุ้นการไหล่เวียนโลหิตทั่วร่างกาย ฉะนั้นถึงแม้ว่าคุณจะไม่ค่อยสนุกกับกระบวนการนี้นักแต่คิดว่ามันดีกับคุณแค่ไหนเอาไว้ก็แล้วกัน

- ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว นี่เป็นตำรับของจีนซึ่งช่วยให้ร่างกายมีพลังวังชามันจะดีท็อกซ์ระบบของคุณรวมทั้งตับและกระเพาะปัสสาวะ หมายความว่าร่างกายคุณจะสามารถทำความสะอาดเลือดได้เร็วกว่าและกำจัดสารพิษที่ทำให้ผิวเสียได้ดีขึ้น

- นอนให้พอ เงินไม่อาจซื้อประโยชน์ของการนอนหลับสนิทยามค่ำคืนได้ ระดับออกซิเจนของคุณจะลดลงเมื่อคุณนอนไม่พอ หมายความว่าการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่จะช้าลงทำให้ความร่วงโรยเข้ามาเยือนผิวเร็วขึ้น ลองนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงเพื่อที่จะได้ประโยชน์สูงสุดแก่ผิว



ตัวเสริม สมุนไพร Gltter Girls
http://www.weloveshopping.com/template/e1/shop.php?shopid=246443




เคล็ดลับ การดูแลริมฝีปาก "ให้น่าจุ๊บ"


ปากแห้ง ติดเชื้อ เป็นขุย เป็นแผล คงไม่ดีแน่มาทำการดูแลริมฝีปากให้น่าจุ๊บด้วยเคล็ดลับการดูแลริมฝีปากของเรากันดีกว่าค่ะ ยิ่งอากาศเปลี่ยน ๆ แบบนี้ยิ่งต้องดูแลริมฝีปากของคุณให้เป็นพิเศษเลยยิ่งหน้าหนาวด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ริมฝีปากของคุณจะแห้งเป็นสองเท่าของอากาศปกติกันเลยทีเดียวค่ะ มาทำการดูแลริมฝีปากให้นิ่งสุขภาพดีกันดีกว่านะค่ะ นั้นไม่ช้าเนอะมาดู เคล็ดลับ การดูแลริมฝีปาก กันเลยค่ะ

การดูแลริมฝีปาก

- แผลติดเชื้อ

ปากแตกบางกรณีจำเป็นต้องให้แพทย์รักษายิ่งถ้าแตกบริเวณด้านในที่ริมฝีปากของคุณประกบกันละก็แผลแตกอาจจะอักเสบ เกิดเป็นผื่นแดงหรือตุ่มที่ทั้งปวดทั้งแสบแถมแผลก็ไม่ยอมหายง่าย ๆ จะแตกซ้ำ ๆ ที่เดิม นอกจากนี้อาจเป็นสัญญาณถึงโรคอื่น ๆ เช่น โรคคาวาซากิ ดังนั้น หากคุณกินยาก็แล้วหยุดเลียก็แล้วและทำตามคำแนะนำอื่น ๆ แต่ยังไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ก็ได้เวลาไปพบแพทย์แล้วค่ะ

- อากาศเปลี่ยนแปลง

อากาศแห้ง ลมแรง และแสงแดดจัด จะทำให้ริมฝีปากของเราต้องสัมผัสกับรังสี UVA ซึ่งทำร้ายเซลล์และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปากแห้งและแตก ป้องกันได้ง่าย ๆ โดยการพกลิปมันติดตัวทาบ่อย ๆ แต่บาง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคุณอาจเลียออกจนหมด อย่างไรก็ตามลิปมันแต่ละรุ่นหรือแต่ละแบรนด์ย่อมต่างกัน ถ้าริมฝีปากอ่อนนุ่มของคุณกลายเป็นทุ่งหินงามแล้วละก็คุณจำเป็นต้องใช้ลิปมันที่ให้ความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษและอย่างน้อยที่สุดลิปมันควรมี SPF15 ด้วยนะคะ

- วิตามินบีหายไปไหน

ร่างกายอาจส่งสัญญาณบอกคุณว่า "วิตามินบีต่ำแล้วนะ!" วิตามินบีที่จำเป็นได้แก่ วิตามินบี 2, 6 และ 12 ซึ่งถ้าขาดไปแล้วคุณอาจจะมึนเวียนศีรษะ ชีพจรเต้นถี่ อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ไม่อยากอาหาร ระบบย่อยอาหารไม่ดี การรับสัมผัสผิดปกติและน้ำหนักลดลงอย่างมาก (ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี) แต่เราสามารถหาวิตามินบีได้ง่าย ๆ จากเนื้อสัตว์ทั้งหลายรวมไปถึง ปลา เนื้อวัว สัตว์ปีก ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต แล้วอย่าลืมกินผลไม้อย่างกล้วยหรือมะม่วงที่มีวิตามิบี 6 นะคะ


- ธาตุเหล็กไม่พอ

อาจเป็นสาเหตุของโลหิตจางนอกจากปากแตกร่างกายของคุณจะรู้สึกเมื่อยล้า อ่อนเพลีย มึนงง ปวดศีรษะ หงุดหงิด ชีพจรผิดปกติ และขาดสมาธิ แม้ส่วนใหญ่แล้วจะรักษาได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อไม่ติดมัน ถั่วและผลไม้ อบแห้ง ไข่ (โดยเฉพาะไข่แดง) อาหารทะเล ถั่วลันเตา ผักขม หน่อไม้ฝรั่ง บร็อกโคลี่ และธัญพืช แต่ถ้าคุณมีปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็กก็ควรจะปรึกษาแพทย์ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

สมุนไพรเพื่อความงาม



www.hersecretherb.com

สมุนไพรเพื่อความงาม


หากพูดถึง “ความงาม” แล้ว คุณผู้หญิงหรือท่านผู้ชายก็คงจะไม่ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต แต่ถ้าเราจะมองกันไปแล้ว “ความงาม” นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตัวของเรามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน โดยปกติสุขภาพจะดีมาก-น้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม การรับประทานอาหาร และการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข เมื่อร่างกายกินได้ ถ่ายคล่อง ผิวพรรณดี และสุขภาพแจ่มใส ” ความงาม” ก็จะบังเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับผิวหน้า


ใบหน้า คือ ด่านแรกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจของผู้พบเห็น แต่หลายๆคนกำลังประสบปัญหาผิวหน้าไม่เรียบสวย เพราะเม็ดสิวและรอยแห้งกร้านด้วยจุดด่างดำของกระและฝ้า จนต้องเสียเงินทองมากมายเพื่อเข้าสถานเสริมความงาม หรือหาซื้อยามารักษา จึงอยากแนะนำให้ใช้สมุนไพรพืชผักและผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป แต่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงผิวธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นผ่องใสอ่อนไวอยู่เสมอ

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)
คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L)
เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)
จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)
ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)
ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata)
ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn)
มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับผิวกาย


ผิวกาย จะเปล่งปลั่งนุ่มนวลไร้รอยกร้าน และรอยหมองคล้ำ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาหารการกิน การออกกำลังกาย และยังมีการถนอมผิว บำรุงผิวอีกหลายๆรูปแบบ สมุนไพรพื้นๆ ที่มีอยู่ทั่วๆไปเอามาใช้บำรุงผิว ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีจึงอยากบอกต่อ รับรองว่าผิวคุณจะสวยขึ้นแน่นอน

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับเส้นผม
ทรงผม หรือเส้นผม เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นได้ สิ่งที่ควรคำนึงในหารดูแลเส้นผม ได้แก่ อาหารจำพวกโปรตีนที่ได้จากเนื้อ นม ไข่ ฯลฯ และวิตามิน A,C,E,B5 ที่ได้จากผลไม้ต่างๆและธัญพืช จำพวกถั่ว งา ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ

2553/12/02

ข้อจำกัดของผิวหนังกับการทาครีมมมมคร่าาาา

เคยรู้สึกบ้างไหมคะว่าครีมสมัยนี้ตามท้องตลาด วางขายกันเกลื่อนกลาด บ้างก็ใช้ได้ผล บ้างก็ใช้แล้วไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง สาเหตุมันเพราะอะไร

ปัจจัยแรก คือ ขนาดของอนุภาคครีมค่ะ
เพราะครีมต่างๆทั่วไปมักซึมลงไปไม่ถึงผิวชั้นล่างๆ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอนุภาคของครีมยังไม่เล็กพอ เนื่องจากรูผิวหนังของเรามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100-200 นาโนเมตร ( นาโนเมตร เป็นหน่วยย่อยของเมตรแปลว่าเล็กกว่าเมตร 100 ล้านเท่าค่ะ) ครีมส่วนใหญ่ที่มีอนุภาคใหญ่กว่านี้ก็ไม่สามารถซึมลงไปได้ ทางที่ดีควรหาครีมที่เป็นชนิดโลโปโซมจะดีดีที่สุด หรือครีมชนิดนาโนเทคโนโลยีก็ได้แต่ต้องดูให้ดีค่ะ เพราะหากอนุภาคใหญ่เกิน 200 นาโนเมตรก็อาจไม่ซึมลงถึงชั้นล่างๆเช่กันค่ะ

ปัจจัยที่สอง คืออายุของผิว
สำหรับผิวเด็ก การป้องกันของการซึมผ่านมีน้อย เมื่อทายาจึงได้ผลดี แต่สำหรับคนที่มีอายุมากขึ้น การป้องกันการซึมผ่านมีมากขึ้น ประกอบกับผิวคนมีอายุจะมีการแบ่งตัวลดลง หนังกำพร้าจึงเริ่มไม่สดใส ดังนั้นการทาอะไรให้ได้ผลก็เป็นไปได้ยากขึ้นค่ะ

ปัจจัยที่สาม คือความซับซ่้อนของผิวค่ะ

เคยมีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า พวกเขายังไม่รู้ว่าการซึมลงของครีมทาผิว เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดได้มากระดับไหน เพราะสารต่างๆๆเดินทางบิดเบี้ยวไปมารอบๆเซลล์ เป็นระยะทางไกลกว่าชั้นของผิวหนังซะอีก อีกทั้งแต่ละคนมีความแตกต่างในการดูดซึมของยาทาที่ ผิวหนังไม่เท่ากัน

ทำความรู้จักกับผิว


รูปภาพจาก www.inderm.go.th

รู้หรือไม่ ? ผิวหนังเป็นอวัยวะของร่างกายที่กินเนื้อที่มากที่สุดในร่างกายหรือประมาณ 20 ตารางฟุตเลยทีเดียวนะ
ซึ่งบริเวณใบหน้าและลำคอนั้นถือเป็นจุดที่บอบบางที่สุด ดังนั้นจึงควรต้องบำรุงรักษาเป็นพิเศษ เพื่อใบหน้าสวยผิวใสสุขภาพดี

ผิวหนังคนเราประกอบด้วย 3 ชั้นใหญ่ๆๆ แต่ทางเครื่องสำอางค์จะสนใจเพียงสองชั้นเท่านั้น คือชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้ค่ะ

เรียงตั้งแต่ชั้นนอกสุดไปในสุดนะคะ


1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่นอกสุดและสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง
เชื่อไหมคะ ยังถูกแบ่งย่อยเป็นอีก 4 ชั้นด้วยกันค่ะ

1.1 สเตรตรัม คอเนียม stratum corneum ชั้นนี้อยู่นอกสุด แล้วพร้อมจะเปลี่ยนเป็นขี้ไคล ภายในชั้นนี้จะมีเคลาตินและพวกไขมันต่างๆๆ เช่น เซอรามายด์และกรดไขมันแบบไบเลเยอร์ หรือ แบบสองชั้นสลับกับส่วนที่เป็นน้ำ ชั้นนี้ส่วนที่ชอบน้ำมันมีมากกว่าส่วนที่เป็นน้ำ ดังนั้นครีมที่ผ่านผิวหนังชั้นนี้ได้ดี ต้องมีสารที่ชอบน้ำมันผสมอยู่ จะได้นำพาสารที่สำคัญลงสู่ผิวหนังชั้นนี้ได้ดีขึ้น ซึ่งครีมในปัจจุบัน ถูกพัฒนาให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้วค่ะ
1.2 สเตรตัม แกนูโลซัม Stratum Glanulosum ชั้นนี้ส่วนมากจะเป็นเซลล์ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงผลัดขึ้นไปชั้นบนสุดนั่นเองค่ะ
1.3 สเตตรัม สไปโนซัม ชั้นนี้จะมี รีเซปเตอร์ Receptor ในทางเคมีหมายถึงตัวจับในการรับสารเพื่อออกฤทธิ์ต่างๆ ตามคุณสมบัติของยานั้นๆๆ ชั้นนี้สำหรับผลทางยา และเอนไซม์ต่างๆค่ะ
1.4 สเตรตรัม เบเซล Stratum Basale ชั้นนี้เริ่มลงมาติดกับชั้นหนังแท้ โดยซลล์แลงเกอฮานส์ ซึ่งทำนห้าที่เป็นเกราะคุ้มกันสิ่งแปลกปลอม และเซลล์เมลาโนไซต์ ซึ่งเป็นตัวผลิตเม็ดสีเมลานินหรือเม็ดสีผิวของเรานั่นเอง ดังนั้นครีมที่สามารถลดการสร้างเม็ดสีของเราได้จะต้องผ่านมาถึงชั้นนี้


รูปภาพจาก www.inderm.go.th

2. ชั้นเดอร์มิส หรือชั้นหนังแท้ (Dermis)
เซลล์ชั้นนี้ส่วนใหญ่ล้อมรอบด้วยน้ำ เป็นไฟเบอร์หรือเส้นใยสูงถึง 70% ดังนั้นสารในครีมที่จะเข้ามาถึงชั้นนี้จะต้องละลายน้ำได้ดี โดยมีส่วนประกอบต่างๆๆดังนี้

ไฟโบรบาลสต์ Fibroblast ที่คอยผลิตคอลลาเจน(เส้นในแนวนอน) อีลาสติก(เส้นใยแนวตั้ง) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและเป็นโครงสร้างผิว
เส้นเลือก น้ำเหลือง และเส้นประสาทเกี่ยวกับการกด และสัมผัส ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน รูขุมขน
สารช่วยพยุง เช่น น้ำ ไกลโคซามิโนไกลแคน และโพรทีโอไกลแคน สารพวกนี้เป็นเส้นใยแบบเกลียวช่วยดูดน้ำได้ 1000 เท่าของตัวเอง จึงพองตัวคล้อายกับวุ้นให้ความเด้งกับผิว

3. ชั้นไฮโปรเดอร์มิส เป็นชั้นที่มีไขมันและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมากมาย เป็นศูนย์รวมหลอดเลือดและเส้นประสาท อีกทั้งยังมีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างหายอีกด้วย แต่ในวงการเครื่องสำอางค์ไม่สนใจชั้นนี้สักเท่าไรห่คะ